หลักภาษาไทย
ตอนที่ 1 ธรรมชาติของภาษา
1. ภาษาในความหมายอย่างแคบ คือ ภาษาพูดของคน
2. ทุกวันนี้ ยังมีอีกหลายภาษาที่ไม่มีภาษาเขียน
3. แต่ละกลุ่มกำหนดภาษากันเอง เสียงในแต่ละภาษาจึงมีความหมายไม่ตรงกัน
4. ลักษณะของภาษาทั่ว ๆ ไป
1. มีเสียงสระและพยัญชนะ (วรรณยุกต์มีบางภาษาเช่น ไทย,จีน)
2. ขยายให้ใหญ่ขึ้นได้
3. มีคำนาม, กริยา, คำขยาย
4. เปลี่ยนแปลงได้
5. ภาษาเปลี่ยนแปลงได้ เพราะสาเหตุหลายข้อ เช่น
สิ่งแวดล้อมเปลี่ยน เช่น ขายตัว ศักดินา จริต สำส่อน แกล้ง ห่ม
การพูด ได้แก่ การกร่อนเสียง และกลมกลืนเสียง
- กร่อนเสียง เช่น"หมากพร้าว" กร่อนเป็น"มะพร้าว"
-กลมกลืนเสียง เช่น"อย่างไร" กลืนเสียงเป็น "ยังไง"
ภาษาต่างประเทศ เช่นสำนวน"ในความคิดของข้าพเจ้า"
เด็กออกเสียงเพี้ยน เช่นกะหนม,ไอติม,ป้อ(พ่อ)
ภาษาไทย
1. จุดเด่นภาษาไทย
1. ภาษาคำโดด = ไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปของคำ
2. การวางคำหลักคำขยาย ในภาษาไทยจะเอาคำหลักขึ้นก่อนแล้วจึงตามด้วยคำขยาย
คำหลัก + คำขยาย เช่น ขนมอร่อย
3. มีเสียงวรรณยุกต์
2.สำนวนภาษาต่างประเทศ
1.เยิ่นเย้อ ดูได้จากมีคำว่า"มีความ, ให้ความ, ทำการ,ต่อการ, ต่อความ, ซึ่ง" แบบไม่จำเป็นเช่น ครูมีความดีใจมาก
2.วางส่วนขยายหน้าคำหลัก เช่น ง่ายแก่ความเข้าใจ
3.เอาคำว่า "มัน" มาขึ้นประโยคแบบไม่มีความหมาย เช่น มันดีจังเลย
4. นิยมใช้ Passive Voice (ถูก+Verb)ในความหมายที่ดี เช่น ถูกชมเชย
5. สำนวนบางสำนวน เช่น ในที่สุด ในอนาคตอันใกล้นี้ ในความคิดของผม พบตัวเอง ใช้ชีวิต
1.คำไทยแท้
คำไทยแท้มักจะเป็นคำพยางค์เดียวและสะกดตรงตามมาตรา
แต่ต้องระวังหน่อย :
1.คำไทยแท้เกิน 1 พยางค์ก็มี
- ประ, กระ + คำไทย เช่น ประเดี๋ยว ประหนึ่ง กระดก กระดุม เป็นต้น
-คำกร่อนเสียง เช่น มะพร้าว มะม่วง ตะเข้ ระริก
คำบางคำ เช่นเสภา ระฆัง
2.คำพยางค์เดียวสะกดตรงมาตรบางคำก็ไม่ใช่คำไทย
-คำที่ใส่"ำ"(สระอำ) เข้าไปได้เป็นคำเขมร เช่น เกิดกราบ จง แจก ทาย เดิน อวย
-คำที่อ่านโดยใส่สระ"ะ"ไปที่ตัวอักษรสุดท้ายได้ เป็นคำบาลี-สันสกฤต เช่น เอก ทาน นาม ชน พระ(วร) โลก กาม ครู
คำไทยที่มีควบกล้ำมี 11 เสียง คือ
กร กล กว ก่อน คร คล คว ค่ำ ปร ปล ไป พร พล พบ ตร เตี่ย
3.คำบาลี - สันสกฤต
คำสันสกฤต
1.ควบกล้ำ หรือมี รร เช่น ปรโมทย์, วิเคราะห์, ภรรยา
2. มี"ศ,ษ,ฤ,ฤา,ฑ,สถ" เช่น ศักดา ฤษี จุฑฑา เสถียร
***คำ "ศ"เป็นภาษาสันสกฤต ยกเว้น ศอก เศิก เศร้า ศึก เป็นคำไทย
คำบาลี สังเกตจากตัวสะกดและตัวตาม
- ถ้าตัวสะกด ตัวตามอยู่ในวรรคเดียวกัน ถือเป็นคำบาลี
เช่น มัจฉา รัฏฐา หัตถ์ บุปผา สัมมา
พยัญชนะวรรค
ก ก ข ค ฆ ง
จ จ ฉ ช ฌ ญ
ฎ ฎ ฐ ฑ ฒ ณ
ต ต ถ ท ธ น
ป ป ผ พ ภ ม
เศษวรรค ย ร ล ว ส ห ฬ อ
4.คำเขมร คำเขมรสังเกตจาก
1. คำนั้นแผลง " ำ" เข้าไปได้ เช่น
กราบ > กำราบ เกิด > กำเนิด เจริญ > จำเริญ
จอง(จำนอง) ชาญ(ชำนาญ) ตรวจ(ตำรวจ) เสร็จ(สำเร็จ) อาจ(อำนาจ) แข็ง(กำแหง) ตรง(ดำรง) ตรัส(ดำรัส) ทรุด(ชำรุด) เปรอ(บำเรอ)
2.คำนั้นเอาคำว่า บำ,บัง,,บรร นำหน้าได้ เช่น
เพ็ญ > บำเพ็ญ บำราศ บำบัด บรรจง บรรทม
คำต่อไปนี้เป็นคำเขมร
- ขจาย ขจร ขจอก ขดาน ขจัด ขจบ
- เสด็จ เสวย บรรทม โปรด
- ถนน กระทรวง ทบวง ทหาร ทลาย แถง โถง
- ขนม สนุด นาน สนิม
5.คำภาษาอื่น ๆ
ภาษาทมิฬ เช่น ตะกั่ว อาจาด สาเก กุลี
ภาษาชวา+ มลายู เช่น บุหลัน บุหงา บุหรง ทุเรียน น้อยหน่า มังคุด มะละกอ โสร่ง สลัด กริช
ภาษาโปรตุเกส เช่น สบู่ ปิ่นโต เหรียญ กาละแม
ภาษาเปอร์เชีย เช่นกุหลาย ตรา ชุกชี
เสียงในภาษาไทย
1. อักษรควบ - อักษรนำ
อักษรควบ มี 2 แบบ คือ
ควบแท้ -> ออกเสียงพยัญชนะต้นทั้ง 2 เสียง เช่น ปลา ครีม เป็นต้น
ควบไม่แท้ -> ออกเสียงพยัญชนะต้นตัวแรกตัวเดียว มี 2 กรณี ดังนี้
- แสร้ง จริง เศรษฐี เศร้า
- ออกเสียง ทร เป็นซ เช่น ไทร ทราย ทรุด
อักษรนำ คือ คำที่
- อ่านหรือเขียนแบบ มี "ห" นำพยัญชนะต้นอีกตัว เช่น หลอก หรู หนี หวาด ตลาด(ตะ-หลาด) ปรอท(ปะ-หรอด) ตลก(ตะ-หลก) ดิเรก(ดิ-เหรก)
- รวมทั้งคำว่า " อย่า อยู่ อย่าง อยาก"
2.เสียงพยัญชนะต้น
เสียงพยัญชนะต้น > เสียงที่นำเสียงสระ
เสียงพยัญชนะต้น มีอยู่ 2 ประเภท คือ
1. เสียงพยัญชนะเดี่ยว = ออกเสียงเสียงพยัญชนะต้นเสียงเดียว เช่น มา วิน ตี นุก หมู
มีนิดนึงที่ระวัง *
- เสียง ร ไม่เหมือนกับเสียง ล
- ฤ ออกเสียงว่า รึ
- ท ธ ฑ ฒ ถ ฐ ออกเสียงตรงกันว่า ท
- พวกอักษรนำ จะออกเฉพาะเสียงเสียงพยัญชนะตัวหลัง(ไม่ออกเสียง"ห"หรือ"อ"ในพยัญชนะต้นตัวแรกนะ เช่น หรู (ออก"ร" ไม่ออก"ห"), หมี (ออก"ม"ไม่ออก"ห") อยาก(ออก"ย" ไม่ออก"อ")
2.เสียงพยัญชนะประสม ออกเสียงเสียงพยัญชนะต้นสองเสียงควบกัน เช่น กราบ ความ ปราม ไตร
ลองทวนอีกนิดนึงนะ
- ผิ ออกเสียงพยัญชนะต้น 1 เสียง คือ /ผ/
- ผลิ ออกเสียงพยัญชนะต้น 1 เสียง คือ /ผล/
- ผลิต ออกเสียงพยัญชนะต้น 2 เสียง คือ /ผ/ , /ล/ (คือเวลาออกต้องแยกว่า ผะ-หลิด)
3.เสียงพยัญชนะตัวสะกด (พยัญชนะท้าย)
เสียงพยัญชนะท้าย = เสียงพยัญชนะที่อยู่หบังเสียงสระ
เสียงพยัญชนะท้าย มี 8 เสียง คือ
แม่กก แทนด้วยเสียง /ก/ แม่กด แทนด้วยเสียง /ต/ แม่กบ แทนด้วยเสียง /ป/ แม่กม แทนด้วยเสียง /ม/ แม่กน แทนด้วยเสียง /น/ แม่กง แทนด้วยเสียง /ง/ แม่เกย แทนด้วยเสียง /ย/ แม่เกอว แทนด้วยเสียง /ว/
เช่น นาค เสียงพยัญชนะท้าย ช /ก/ รด เสียงพยัญชนะท้าย = /ต/
มีที่ต้องระวังนิดนึง
1. อำ ออกเสียงคือ อะ + ะ + ม ไอ,ใอ ออกเสียงคือ อะ +ะ + ย เอา ออกเสียง คือ อะ+ะ+ว
มีตัวสะกดทั้ง 4 เสียงเลยนะ
เช่น น้ำ มีเสียงตัวสะกดคือ /ม/ ไฟ /ย/ เก่า /ว/
2.บางคำดูเหมือนมีตัวสะกด แต่จริง ๆ คือรูปสระ ไม่ใช่ตัวสะกด เช่น ผัว เบื่อ เมีย ล่อ เสือ ชื่อ คำพวกนี้ไม่มีเสียงตัวสะกด
ลองทวนอีกที
ลองหาเสียงพยัญชนะตัวสะกดในคำต่อไปนี้ดู "เจ้าหญิงคือผู้ที่ข้าต้องการ"
เฉลย ว ง - - - - ง น
4.เสียงสระ
1.เสียงสระสั้น ยาวให้ดูตอนที่ออกเสียงอย่าดูที่รูปเช่น
วัด ออกเสียงสระสั้น ช่าง สระสั้น เท้า สระยาว เน่า สระสั้น น้ำ สระยาว ช้ำ สระสั้น
2.เสียงสระ มี 2 ประเภท คือ
สระประสม มี 6 เสียง คือ อัวะ อัว เอือะ เอือ เอียะ เอีย
สระเดี่ยว มี 18 เสียง คือ สระที่ไม่ใช่ อัวะ อัว เอือะ เอือ เอียะ เอีย
5.เสียงวรรณยุกต์ มี 5 ระดับ คือ สามัญ เอก โท ตรี จัตวา
6.พยางค์ คือ เสียงที่ออกมา 1 ตรั้ง มี 2 ประเภท คือ
พยางค์เปิด พยางค์ที่ไม่มีตัวสะกด เช่น เธอ มา ลา สู่
พยางค์ปิด พยางค์ที่มีเสียงตัวสะกด เช่น ไป รบ กับ เขา
ในข้อสอบ Ent
@เวลาเขาถามถึง โครงสร้างของพยางค์ = องค์ประกอบของพยางค์ ให้ดูจากองค์ประกอบเสียงที่ออกมา คือ พยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ ตัวสะกด
@ถ้าเขาถามว่ามีโครงสร้างพยางค์ต่างกันไหม ให้เช็คไล่จาก
1. มีตัวสะกดไหม เช่น กางมี"ง"เป็นตัวสะกด แต่ กาไม่มีตัวสะกด
..โครงสร้างพยางค์ของ 2 คำนี้จะต่างกัน
2. เสียงพยัญชนะต้นเป็นเดี่ยว(พยัญชนะออกเสียงเดียว)หรือควบ(พยัญชนะต้น 2 เสียง)
เช่น แสร้ง กับ เชี่ยว มีเสียงพยัญชนะต้นเป็นเสียงเดียวทั้งคู่
..โครงสร้างพยางค์เหมือนกัน
3. เสียงวรรณยุกต์ตรงกันไหม เช่น ท้า กับ ท่า มีเสียงวรรณยุกต์ต่างกัน
..โครงสร้างพยางค์ค่างกัน
4. เสียงสระสั้นยาวเท่ากันไหม เช่นช้าวออกเสียงสระยาว แต่ ตั้ง ออกเสียงสระสั้น
...โครงสร้างพยางค์ต่างกัน
7.เสียงหนักเบา
เสียงหนักเบาในวรรณคดีประเภทฉันท์
@ เราเรียกเสียงหนักว่า ครู ( ั) เรียกเสียงเยา ว่า ลหุ ( ุ )
@ คำครุ-ลหุ
- ครุ คำที่มีเสียงตัวสะกดหรือไม่มีตัวสะกด แต่ออกเสียงสระยาว เช่น เบิร์ด ฟลุด คูณสาม ทาทา มาช่า ซาซ่า โมเม บับเบิ้ลเกิร์ล โดม
- ลหุ คำที่ไม่มีเสียงตัวสะกด + สระเสียงสั้น เช่น เต๊ะ โป๊ะเชะ มะตะบะ
เสียงหนักเบาเวลาเราพูด
เช่น กะปิ เวลาเราพูดเราจะเน้นเสียง ปิ ชัดชัด
จำปา เวลาเราพูดเราจะเน้นเสียง จำ, ปา ชัดทั้งคู่
โมเม เวลาเราพูดเราจะเน้นเสียง โม, เม ชัดทั้งคู่
นิโคล เวลาเราพูดเราจะเน้นเสียง โคล ชัดชัด
9.อักษร 3 หมู่
อักษรสูง มี 11 ตัว ได้ แก่ ข ฃ ฉ ถ ผ ฝ ศ ษ ส ห
อักษรกลาง มี 9 ตัว ก ฎ ฏ ด ต บ ป อ
อักษรต่ำ มี 24 ตัว ได้แก่ ค ฅ ฆ ง ช ซ ฌ ญ ฑ ฒ ณ ท ธ น พ ฟ ภ ม ย ร ล ว ฬ ฮ
**อักษรสูงกลางต่ำหมายถึง ตัวอักษรที่เป็นพยัญชนะต้นทั้งหมดในคำนั้น ๆ เช่น
-ไว มีรูปอักษรต่ำ 1 ตัว คือ ว
- กลาย มีรูปอักษรกลาง 1 ตัว คือ ก รูปอักษรต่ำ 1 ตัวคือ ล (เพราะในที่นี้รูปพยัญชนะต้นมี 2 ตัว คือ ก กับ ล)
คำ
1.คำมูล = คำดั้งเดิม เช่น กา เธอ วิ่ง วุ่น ไป มา
2.คำซ้ำ = คำมูล 2 คำที่เหมือนกันทุกประการ คำที่สองเราใส่ไม้ยมกแทนได้ เช่น วิ่งวิ่ง(วิ่งๆ) น้องน้อง(น้องๆ)
ที่ต้องระวัง
1. คำซ้ำในร้อยกรองไม่ใช้ไม้ยมก
2.อย่าใช้ในไม้ยมกในคำต่อไปนี้ เพราะไม่ใช่คำซ้ำ นาน (แปลว่าต่างๆ) จะจะ(แปลว่าชัด) ไวไว(ชื่ออาหาร)
3.บางทีคำที่เหมือนกันมาชิดกัน ไม่ใช่คำซ้ำเพราะความหมายไม่เหมือนกัน เช่น เขามีที่ที่บางนา(land, at)
3.คำซ้อน(คำคู่) คำมูลที่มีความหมายเหมือนหรือคล้ายไม่ก็ตรงข้ามมารวมกัน เช่น เก็บออก จิตใจ ผู้คน สร้างสรรค์ ขนมนมเนย ถ้วยชาม แข็งแรง เด็ดขาด ตัดสิน ดึงดัน ชั่วดี ถี่ห่าง
4.คำประสม คำมูล 2 คำมารวมกันเป็นคำใหม่ และคำใหม่นั้นมีเค้าความของคำเดิมที่นำมารวมกันเช่น น้ำพริปลาทู ขนมปัง ไส้กรอก ไก่ย่าง ผ้าพันคอ เข็มฮีกยา เลือกตั้ง เจาะข่าว โหมโรง ปากหวาน
ที่ต้องระวัง
คำประสมต้องเป็นคำใหม่(ไม่ใช่คำที่เรามาขยายกันนะ)
เช่น เทียนไข(เทียนชนิดหนึ่ง) = คำประสม ,เทียนหัก ไม่ใช่คำประสม ;เตารีด เตาถ่าน เป็น แต่ เตาเก่า ไม่เป็น
5.คำสมาส คำบาลี+สันสกฤต 2 คำมารวมกัน (บาลีทั้งคู่ก็ได้ สันสกฤตทั้งคู่ก็ได้ คำบาลี+สันสกฤตก็ได้)
ที่ต้องระวังถ้าคำที่เอามารวมกันเป็นคำภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาบาลี สันสกฤต ก็จะไม่ใช่คำสมาส
เช่น ราชวัง ทุนนิยม สรรพสินค้า คุณค่า พระเจ้า พลเมือง ที่ขีดเป็นคำไทย
คริสต์จักร เคมีภัณฑ์ ที่ขีดเป็นภาษาอังกฤษ ราชดำเนิน ที่ขีดเป็นคำเขมร
วิธีสังเกตคำสมาสอย่างง่าย คือคำสมาสจะอ่านเนื่องเสียงระหว่างคำ ก็คือเวลาอ่านตรงกลางจะออกเสียงสระด้วย เช่น ราช(ชะ)การ อุบัติ(ติ)เหตุ ธาตุ(ตุ)เจดีย์ แพทย(ทะยะ)ศาสตร์ กุมาร(ระ)เวช กิจ(จะ)กรรม
จะมียกเว้นบ้างบางคำเช่น รสนิยม(รด-นิ-ยม)ไม่อ่านสะ ปรากฎการณ์ (ปรา-กด- กาน) เหตุการณื สุขศาลา
6.คำสนธิ คำสมาสประเภทที่เราเอาพยัญชนะตัวสุดท้ายของคำหน้าไปแทนที่"อ"ตัวแรกของคำหลัง เช่น
ชล+อาลัย = ชลาลัย ศิลป + อากร = ศิลปากร
วิธีการจะดูว่าคำไหนเป็นคำสมาสหรือสนธิ (หรือที่ในตำราเขาเรียนว่าสมาสชนิดสนธิ) คือแยกคำ 2 คำออกจากกัน
- ถ้าแยกออกเป็นคำได้เลย = คำสมาส
- ถ้าแยกแล้วต้องเติม"อ" ไปที่คำหลัง = คำสนธิ
เช่นธรรมบท = ธรรม + บท > สมาสธรรมดา กุศโลบาย = กุศล+อุบาย > สนธิ
ระวังการแยกคำต่อไปนี้
วิทยาเขต = วิทยา + เขต
สรรพสามิต = สรรพ+ สามิต
สรรพากร = สรรพ + อากร
วิทยากร = วิทยา+กร
ทิพากร = ทิพา+กร
ประชากร = ประชา + อากร
ทรัพยากร =ทรัพ + อากร
อนามัย = อน + อามัย
ตฤณมัย = ตฤณ + มัน
กาญจนามัย = กาญจนา + มัย
ทวนอีกครั้ง
คำต่อไปนี้เป็นคำชนิดไหน(มูล ซ้อน ซ้ำ ประสม สมาสแบบไม่สนธิ สนธิ)
บ้านเรือน บ้านบ้าน บ้านแตก บ้าน กลยุทธ ราโชรส
ซ้อน ซ้ำ ประสม มูล สมาส สนธิ
ชนิดของคำ
1.คำนาม คือคำที่ใช้เรียกชื่อสิ่งต่าง ๆ เช่นตู้ โต๊ะ เก้าอี้
2.คำกริยา คือ คำแสดงการกระทำ เช่น เดิน นั่ง วิ่ง นอน คุย กิน
4.คำวิเศษณ์ คือคำ ขยาย เช่น แดง ดำ สูง ต่ำ เปรี้ยว หวาน
5.คำเชื่อม มี 2 ประเภท คือ บุพบท สันธาน วิธีดูให้ดูข้อความที่ตามมา
สันธานจะต้องตามด้วยประโยค เช่น ปลาหมอตายเพราะปากไม่ดี
บุพบทจะตามด้วยข้อความที่ไม่ใช่ประโยค เช่น ปลาหมอตายเพราะปาก
โตรงสร้างของคำ ถ้าเห็นข้อสอบถามโครงสร้างของคำ เขาอาจถามถึงชนิดของคำเอามารวมกัน เช่น
แม่บ้าน = แม่ + บ้าน = นาม + นาม
ทองแดง = ทอง + แดง = นาม + วิเศษณ์
ต้มยำ = ต้ม + ยำ = กริยา + กริยา
สามล้อ = สาม + ล้อ =วิเศษณ์ + นาม
ห้องรับแขก = ห้อง + รับ +แขก = นาม + กริยา + นาม
ประโยค
1.เจตนาประโยคมี 3 อย่าง = แจ้งให้ทราบ(บอกเล่า) ถามให้ตอบ(คำถาม) บอกให้ทำ(ให้ทำ)
2.โครงสร้างของประโยค หมายถึง ส่วนประกอบของประโยค คือ ประธาน กริยา กรรม ส่วนขยาย
เช่น พ่อฉันกันข้างเก่งมาก (ประธาน ขยาย(พ่อ) กริยา กรรม ขยาย(กิน) ขยาย(เก่ง))
@ภาคแสดง ในโครงสร้างของประโยคหมายถึง ส่วนประกอบตั้งแต่กริยาเป็นต้อนไปจนจบประโยค
เช่น เขากินข้าวมาแล้ว 5 ชาม
@การเน้นส่วนของประโยค ถ้าเราต้องการเน้นตรงไหน จะเอาส่วนนั้นมาขึ้นต้นประโยค เช่น
กระเป๋าใบนี้ฉันถักเอง (เอากรรมขึ้นประโยค ประธานคือ ฉัน)
ที่โรงอาหารรุ่นพี่ทะเลาะกับรุ่นน้อง(เน้นสถานที่)
3.ชนิดของประโยค มี 3 ชนิด
@ประโยคความเดียว : มีประธาน กริยา กรรม อย่างละตัว
@ประโยคความซ้อน : มี 2 ประโยคมารวมกัน ใช้คำเชื่อว่า ที่ ซึ่ง อัน ว่า ให้
ข้อที่ต้องระวังกับประโยคความซ้อน
ที่ ซึ่ง อัน ที่เป็นประโยคความซ้อนมีความหมายเหมือนกันคือ that
ที่ ในประโยคความซ้อน ไม่ได้ หมายถึง at
ซึ่ง ในประโยคความซ้อน ต้องแทนด้วยคำว่า "ที่" ได้
อัน ในประโยคความซ้อน ต้องแทนด้วยคำว่า "ที่ได้
***รวมประโยครูปแบบนี้ด้วย Subj + Verb หระสาทสัมผัส + ประโยค
เช่น เขาเห็นนกบินกลับรัง
@ประโยคความรวม : มี 2 ประโยคมารวมกันด้วยคำเชื่อคำไดก็ได้ ยกเว้น ที่ ซึ่ง อัน ว่า ให้ (ถ้าใช้ ที่ ซึ่ง อัน ว่า ให้ เชื่อม จะเป็นประโยคความซ้อนนะ)
เช่น เขาทำการบ้านก่อนนอน (ละ เขานอน)
ข้อระวังเกี่ยวกับประโยคความรวม
มีประโยคความรวมบางประเภทละคำเชื่อมว่า "และ" เลยเห็นเป็น verb 2 ตัวติดกันเราถือเป็นประโยคความรวม(ประเภทละ"และ") เช่น เขานอนฟังเพลง เขาเดินกินขนม
ลองทบทวนดู
ข้อต่อไปนี้เป็นประโยคชนิดไหนสังเกต จากอะไร
-น้ำตกที่สวยที่สุดในภาคเหนือคือ น้ำตกแม่ยะ
ประโยคความซ้อน สังเกตที่มีคำเชื่อม"ที่" แปลว่า that ไม่ใช่ at
-เด็กกินนอนกันทั้งวัน
ประโยคความรวมมี verb 2 ตัวติดกัน รวมแบบละ"และ"
-จอนนี่ฟังหลุยส์ร้องเพลง
ประโยคความซ้อนที่มี Pattern sub(จอนนี่)+verbประสาทสัมผัส(ฟัง) + ประโยค(หลุยส์ร้องเพลง
-เขาเดินอยู่บนบ้านทั้งคืน
ประโยคความเดียว
4.จำนวนประโยค
@ปกติจบ 1 ประโยค = นับเป็น 1 ประโยค
@ ถ้ามีคำเชื่อมเราคือว่าประโยคนั้นยังเป็นประโยคเดียวกับข้างหน้า
เช่นเขากินข้าวแล้ว 1 เขากินข้าแล้ว ตอนนี้เขาเข้านอนแล้ว 2 เขากินข้าวก่อนจะเข้านอน 1 ตะวันบอกละเวงว่าจะไปเมืองนอก ละเวงเลยร้องไห้ 1
5.วลี คือ กลุ่มคำที่ไม่ใช่ประโยค บางทีก้อยาวจนเกือบจะเป็นประโยค แต่ก้อไม่ใช่ประโยค
@ วิธีดูว่าจะเป็นวลี(ในหนังสือบอกว่าเป็น ประโยคไม่สมบูรณ์)หรือประโยค ลองอ่าน ๆ ไป ถ้าอ่านแล้วเหมือนจะไม่จบ (ประมาณว่ารู้สึกต้องมีอะไรต่อนะ) แสดงว่าเป็นวลี แต่ถ้าอ่านแล้วรู้สึกว่ามันจบก็คือประโยคเช่น
แม้นเราจะอ่านหนังสือสอบมากขนานไหน = วลี (เวลาอ่านรู้สึกว่ามันต้องมีต่อ sure)
เธอวิ่งซะจน = วลี (ซะจน - - อะไรเหรอ อยากรู้จัง -- แสดงว่าต้องมีอะไรต่อนะ)
กระดาษที่วางบนโต๊ะตัวนั้น = วลี (แล้วมันยังไงนะ ต้องมีต่อsure)
เธอกลับบ้านไปแล้ว = ประโยค(ก็มันจบนี่)
ทุกทุกคราวที่มองฟ้า = วลี (แล้วยังไง - ต้องมีต่อ Sure "คิดถึงเธอทุกที" - หรือเปล่า)
ระดับภาษา
1.ระดับภาษามี 5 ระดับ
1.พิธีการ ใช้ในพิธี คำพูดจะดูหรูหรา อลังการ ดูเป็นพิธี เช่น ในศุภวาระดิถีขึ้นปีใหม่
2.ทางการ ใช้ในเชิงวิชากร ประชุมใหญ่ๆ เรื่องที่ต้องการแบบแผน คำพูดจะเป็นภาษาเขียน (ไม่เหมือนที่เราพูดกันทั่วไป)เช่น ท่านเคยคิดหรือไม่ว่า การทำเช่นนั้นจะมีผลเช่นไร(สุดยอดทางการเลย)
3.กึ่งทางการ ใช้ในที่ประชุมเล็ก ๆ เรื่องที่ต้องมีแบบแผนบ้าง คำพูจะมีทั้งภาษาเขียนและภาษาพุโปน ๆ กัน เช่น ถ้าจะไม่กล่าว(เขียน พูดใช้พูด)อะไรเลย เพื่อน ๆ(พูด ในที่นี้อาจตำหนิ(เขียน พูดใช้ว่า)ผมได้
3.สนทนา ใช้คุยกันทั่ว ๆ ไปแต่ก้อมีความสุภาพด้วยภาษาก็จะเป็นภาษาที่เราใช้คุยกัน
4.กันเอง ใช้คุยกันกับคนซี้ ๆ
ระวังนิดหน่อย
คำที่เราใช้ควรอยู่ในระดับเดียวกันทั้งข้อนะ เช่น พ่อรักแม่ ไม่ใช่พ่อรักมารดา พ่อแม่รักลูก ไม่ใช่ พ่อแม่รักบุตร
ราชาศัพท์
ชื่อ***มีที่ต้องระวัง
@พระนามของพระราชินี, พระบรมโอรสาธิราช และพระเทพ" นะมีไปยาลน้อย(ฯ) ตรงกลาง เพื่อย่อชื่อพระองค์ท่าน
@ชื่อเจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ คำว่า"ภรณ" ไม่มีเครื่องหมาย" ์"
@ชื่อพระองค์โสมและพระองค์ภา ไม่มีคำว่า"สมเด็จ"นำหน้า
การทำนามเป็นนามราชาศัพท์
ตอนแรก ๆ นี่เราแอบรู้ไปก่อนละกันว่า นามราชาศัพท์คือ คำราชาศัพท์ที่ขึ้นด้วย "พระ" เช่น พระทหัย พระบิดา พระอุปถัมภ์
จะมีคำที่ขึ้นต้นด้วย"พระ"แต่ไม่ใช่นามราชาศัพท์คำเพียงคือ พระราชทาน (เป็นกริยาราชาศัพท์)
@ขั้นตอนการทำนามเป็นนามราชาศัพท์เราต้องทำนามที่ชาวย้างอย่างเราใช้เป็นนามหรู(นามสุภาพมาก)แล้วก็ทำนามหรูให้เป็นนามราชาศัพท์ เช่น มือ > หัตถ์ > พระหัตถ์ ความคิด>ดำริ>พระดำหริ
-ทีนี้ก็มีอีกนิดนึง คือ มีบางคนคงถามว่าแล้วทำไมเคยได้ยินว่ามีพระราชดำริ พระบรมราโชวาท ก็มาถึงว่า พอเราทำนามนั้นเป็นนาทราชาศัพท์ เราก็มาดูอีกว่าเราสามารถเลื่อนในคำนำหน้านาทได้ไหม คือ เขามึคำอยู่ 3 คำเอาไว้ให้นำหน้าคำนานราชาศัพท์คือ
พระบรม พระราช พระ
1.พระบรม ใช้กับ king เท่านั้น
2.พระราช ใช้ได้ 4 องค์คือ king queen พระบรมโอรสาธิราช สมเด็จพระเทพฯ
3.พระ ใช้กับยศ "พระองค์เจ้าขึ้นไป
มีคำนามราชาศัพท์บางคำที่ข้อสอบออกบ่อมากจนติด Chart ข้อสอบ Ent คือ
1.อาคันตุกะ แปลว่า คนที่มาเยี่ยม (จริง ๆ ก็คือแขก แต่กลัวเขียนว่า"แขก" แล้วบางคนจะนึกถึง คนขายโรตี คนขายถั่ว แล้วก้อคนเต้นระบำรอบเขา 48 ลูก)
@ถ้าเป็นแขกเป็นคนธรรมดา เรียกว่า อาคันคุกะ
@ถ้าเป็นของ king queen เรียกว่าพระราชอาคันตุกะ
-นายกฯอังกฤษเดินทางมาเยือนไทยในฐานะพระราชอาคันตุกะของในหลวง
-สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาทรงเป็นอาคันตุกะของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
2.กำหนดการ ใช้กับการกำหนดเรื่องทั่ว ๆ ไป
หมายกำหนดการ ใช้กับเรื่องที่ราชสำนักกำหนด
3.วันคล้ายวันเกิด ถ้าเป็นวันคล้ายวันเกิดในหลวง เรียกว่า วันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ (แอบเห็นคำว่า"บรม" ไหม - - นั่นแหละแสดงว่าเป็นของ K) บางทีเราก้อเรียนว่า"วันเฉลิมพระชนมพรรษา"
4.อายุ
อายุของในหลวงและพระบรมราชินี เราเรียกว่า"พระชนมพรรษา" ส่วนอายุของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชและสมเด็จพระเทพฯ เราเรียกว่า"พระชนมายุ"
3.การทำเป็นกริยาราชาศัพท์
1. ให้เปลี่ยนกริยานั้นเป็นกริยาราชาศัพท์เลย ถ้าเปลี่ยนได้
2.ถ้าไม่สามารถเปลี่ยนได้ทันทีให้เอา ทรง มานำหน้า(แต่ต้องแอบรู้กันก่อนนะว่าเราจะเอา ทรง +อะไรก็ได้ แต่ห้ามเอาทราง + กริยาราชาศัพท์ เช่น ทรงเสด็จ ทรงประทาน) กริยาราชาศัพท์ เช่น ทรงวิ่ง ทรงม้า ทรงช้าง ทรงพระราชนิพนธ์
มีที่ทำกันผิดเยอะมาก 2 จุดคือ
@คำไหนเปลี่ยนเป็นกริยาราชาศัพท์ได้เลยต้องเปลี่ยนนะ จะเอาทรงมานำหน้าทำเป็นกริยาราชาศัพท์ไม่ได้ เพราะมันเปลี่ยนของมันได้อยู่แล้ว เช่น ทรงกิน ต้องเป็นเสวย ่รงนอน ต้องเป็นบรรทม
@เราห้ามเอา"ทรง" + กริยาราชาศัพท์ แต่"ทรง" + นามราชาศัพท์ได้เช่น
ทรงสุบิน ไม่ได้ ทรงนิพนธ์ ก็ไม่ได้ แต่ต้องทรงพระสุบิน ทรงพระราชนิพนธ์(ก็มีคำว่า พระ ขึ้นต้นไง)
มีกริยาราชาศัพท์ที่ข้อสอบออกบ่อย อยู่ 3-4ตัว
1.ให้(ถวาย)
1.ของที่ถวายเป็นของเราอยู่นะ ยังไม่ต้องเปลี่ยนเป็นคำราชาศัพท์เช่น เราถวายหมวกให้พระองค์ภา เพราะหมวกเป็นของเรา อย่าไปแก้เป็น"พระมาลา"จะกลายเป็นว่าเรานี่ใหญ่โตจนหมวกของเราเป็นพระมาลา
2.ถ้าต้องการถวายของให้พระองค์โสมและพระองค์ภาใช้คำว่า"ถวาย"เลย
3.ถ้าต้องการถวายของให้เจ้านายระดับสูง หน้าคำว่าถวายต้องมีคำว่า"ทูลเกล้าฯ" หรือ"น้อมเกล้าฯ"
ถ้าที่เราถวายยกขึ้นมาได้ใช้ "ทูลเกล้า" กับเงิน ช่อดอกไม้ แว่นตา ปริญญา
ถ้าสิ่งที่เราถวายยกขึ้นมาไม่ได้ใช้"น้อมเกล้าฯ"เช่นรถ ช้าง ม้า เครื่องบิน พระพรชัย(ก้อ"พร"ยกขึ้นมาไม่ได้นี่)
4.ที่ต้องระวังคือ"ถวายการต้อนรับ"กับ"ถวายความจงรักภักดี" เขาไม่ใช้กัน คือผู้ใหญ่มองว่าไปเลียนแบบการพูดของฝรั่งให้แก้เป็น"เฝ้ารับเสด็จฯ" และ"มีความจงรักภักดี"
2.เดินทาง(เสด็จ)
1.king queen สมเด็จพระบรมโอรสธิราชและพระเทพฯ ใช้คำว่า "เสด็จพระราชดำเนิน" หรือ "เสด็จฯ" (ต้องมีไปยาลน้อยด้วยนะ)
แต่ถ้าเป็นเจ้านายองค์อื่น ๆ เดินทางให้"เสด็จ" เฉย ๆ
2.กรณีต่อไปนี้ทุกพระองค์รวมทั้งในหลวงด้วย ให้ใช้คำว่า"เสด็จ"เฉย ๆ คือ เสด็จเข้า เสด็จออก เสด็จขึ้น เสด็จลง เสด็จยืน เสด็จประทับ เสด็จประพาส เสด็จนิวิตพระนคร เสด็จพระราชกุศล
-ในหลวงเสด็จจาก กทม.ไปประทับวังต่างจังหวัด เรียก "เสด็จฯแปรพระราชฐาน"
-ในหลวงเสด็จกลับจากวังต่างจังหวัด เรียกว่า"เสด็จนิวัตพระนคร
4.สรรพนามราชาศัพท์
1.เวลาเจอเจ้านายชั้นสูงให้เราเรียกตัวเองว่า"ข้าพระพุทธเจ้า"
2.เวลาแทนชื่อเจ้านาย ถ้าเป็นในหลวง,พระราชินี เรียกพระองค์ท่านว่า ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ถ้าเป็นพระบรมโอรสาธิราช พระเทพ เรียกพระองค์ท่านว่า"ใต้ฝ่าละออกพระบาท" เจ้าฟ้าหญิง ใช้คำว่า "ใต้ฝ่าพระบาท"
3.เวลาจะพูด ถ้าเป็น K Q ใช้ "ขอพระราชทานกราบบังคมทูลกราบฝ่าละอองพระบาท" ฝ่าละออง...ไม่มีคำว่า"ใต้"นะ
4.เวลาพูดจบให้ลงท้ายว่า"ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ"ถ้าเป็นจดหมาย"ควรมิควรสุดแล้วจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ"
5.คำว่า"ต่อหน้า" ใช้ว่า"เฉพาะพระพักตร์"
สำหรับพระสังฆราชให้ใช้ราชาศัพท์เท่ากับองค์ภาเช่นเสวย บรรทม ประชวร
ระวัง!พระสงฆ์องค์อื่นถึงจะเป็นพระราชคณะ ยังไงก็ยังไม่ใช่สังฆราชก็ใช้คำสำหรับพระธรรมดาเช่นฉัน
ความคิดกับภาษา
ภาษามาตรฐาน = ภาษาที่เราใช้คิดต่อกันทั่วไป เป็นที่เข้าใจกัน
ภาษาถิ่น = ภาษาที่ใช้กันเฉพาะท้องถิ่น
ภาษาแสดงความเป็นปัจเจกบุคคล = คำพูดแสดงบุคลิกภาพเฉพาะของแต่ละคน
ภาษาช่วยจรรโลงใจ = คำพูที่ทำให้เราสบายใจ รู้สึกดี
ภาษามีอิทธิพล เช่น เราชอบปลูกต้อนไม้ชื่อความหมายดีไว้ในบ้าน(เช่นเงินไหลมา ทองไหลมา)
วิธีคิด
วิเคราะห์ = คิดแบบ"แยกแยะ"คิดพิจารณาให้ละเอียดลึกซึ้ง
สังเคราะห์ = คิดแบบ"รวบรวม" รวมความคิดเห็นหลาย ๆ แง่มุมขึ้นมา
ประเมินค่า = คิดแบบ"ตัดสินคุณค่า"ว่าดีด ไม่ดี สวย ไม่สวย
ภาษากับเหตุผล
โครงสร้างของเหตุผล
1.เหตุ = สาเหตุ ข้อสนับสนุน เหตุผล
2. ผล = ผลลัพธ์ ข้อสรุป
การวางโครงสร้างของเหตุผล
แบบ1 เหตุมาก่อนผล สังเกตจากคำเชื่อม "ดังนั้น ก็เลย จึง เพราะฉะนั้น"
แบบ2 ผลมาก่อนเหตุ สังเกตจากคำเชื่อม " เพราะ เนื่องจาก ด้วย" เช่น
วิธีการให้เหตุผล
1.นิรนัย = แบบที่ผลลัพธ์ "แน่นอน"SUREๆ มันจะเป็นเรื่องจริง หรือสัจธรรม
-คนเราเกิดมาก็ต้องคาย
2.อุปนัย = แบบที่ผลลัพธ์ "ไม่เห็นจำเป็นต้องเป็นอย่างนั้นเลย"(ยังไม่แน่)
-รุ่นพี่เราเอนติดกันเยอะมาก รุ่นเราคงจะเป็นอย่างนั้น
การอนุมานเหตุและผลที่สัมพันธ์กัน
1.แยกออกมาก่อนว่าส่วนใดเป็นเหตุ ส่วนใดเป็นผล
2.ดูต่อไปว่าส่วนที่เราแยก ส่วนใดเรารู้ ส่วนไหนเราคาด
3.คำตอบของการอนุมานจะเขียนจากสิ่งที่เรารู้ไปหาสิ่งที่เราคาด
-เรารู้สาเหตุคาดผล เรียกว่า อนุมานจากสาเหตุ(รู้)ไปหาผลลัพธ์(คาด)
เช่น
-เขาน่าจะอ้วนขั้น เขากินเก่งทั้งวัน
1.ผล - เหตุ
2.(น่าจะ)เราคาด - เรารู้
3.อนุมานจากสิ่งที่เรารู้(เหตุ)ไปสิ่งที่เราคาด(ผล) ข้อนี้เรารู้"เหตุ" แล้วคาด"ผล" จึงเป็นการอนุมานจากสาเหตุไปหาผลลัพธ์
-เขาน้ำหนักลด เพราะเขาไม่ค่อยกินข้าว ร่างกายคงไม่แข็งแรง
1. ผล-เหตุ-ผล
2. รู้ - คาด
3.อนุมานจากผลไปหาผล
อนุมานมี 3 แบบ จากเหตุไปผล จากผลไปเหตุ จากผล ไปผล แต่ไม่มีการอนุมานจากเหตุไปหาเหตุ
การแสดงทรรศนะ
1.ทรรศนะ = ความคิดเห็น
@ทรรศนะ(ความคิดเห็น) = ไม่ใช่ข้อเท็จจริง
@มีหลายคำที่บอกให้รู้เป็นทรรศนะหรือความเห็นเช่น น่าจะ คงจะ อาจจะ ควรจะ
2.ประเภททรรศนะ มี 3ประเภท
1.เกี่ยวกับข้อเท็จจริง
-เป็นความเห็นที่เกี่ยวกับ"ความจริงที่เกิดขึ้น"ว่าจริง ๆ เป็นอย่างไง
-ทรรศนะแบบนี้เข้าลักษณะการสันนิษฐานหรือคาดคะเน
เช่น เขาคงสอบเอนทรานซ์ติดแน่น ปัญหาจราจรกรุงเทพแก้ไม่ได้
2.เกี่ยวกับคุณค่า(ค่านิยม)
-เป็นการออกความเห็นเพื่อตัดสินว่าดีหรือไม่ดี
เช่นเธอทำกับข้าวอร่อยมาก เวลาเธอถ่ายสติ๊กเกอร์ยิ้มน่ารักจัง
3.เกี่ยวกับนโยบาย
-เป็นการออกความเห็นเพื่อเสนอแนะ แนะนำ เตือน
เช่น เขาน่าจะไปโรงยิมซะหน่อย น้ำหนักจะได้ลด
การโต้แย้ง
1.การโต้แย้งเป็นการพูดคุยกันด้วยเหตุผล ไม่ใช่ใช้อารมณ์มาด่าว่ากัน
2.เวลาโต้แย้ง จะมีการตั้งประเด็นในการโต้แย้ง ประเด็นคือ main idea หรือเรื่องหลัก ๆ ที่เราเถียงกันอยู่
3.เวลาโต้แย้ง ควรพูดจากับคนอื่นดี ๆ อย่าใช้อารมณ์ หรือว่าคนอื่น
-ที่เธอพูดมาผิดเพี้ยน ไร้สาระ ดู low มาก ๆ (นี่เขาเรียกว่า ด่า ไม่เหมาะนะ)
-ที่คุณพูดมาเกือบดีค่ะ คุณนี่ข่างพูดนะ เกือบน่าฟัง(ปัดโธ่ ที่แท้ก็ว่าเขาอยู่ดี)
-ที่คูณพูดว่า ผมเห็นต่างไปว่า - - -(ดีที่สุด เพราะออกความเป็นส่วนของเราไม่ไปว่าเขา)
การโน้มน้าวใจ
เป็นการพูดจูงใจหรือชักชวนคนให้ทำตามการโน้มน่าวเป็นการใช้ศิลปะการพูดไม่ใข่พูดตรง ๆ เพราะงั้นพวกที่พูดขู่ ด่า ว่า ยังคับ ไม่ใช่ การโน้มน้าวใจ
วิธีการโน้มน้าวใจ
1.ทำให้น่าเชื่อถือ
2.การใช้อารมณ์ร่วมกัน(อารมณ์อ่อนไหว) พวกนี้คำพูดจะเบา ๆ ให้เราอารมณ์คล้อยตาม
3.การใช้อารมณ์แรงกล้า พวกนี้คำพูดจะแรง ๆ เหมือนการปลุกเร้าเรา
4.การใช้อารมณ์หรรษา พวกนี้จะเป็นคำพูดสนุก ๆ หรือ มีมุขเวลาพูด
5.การชึ้ให้เห็นเหตุผล พวกนี้จะพูดถึงเหตุ-ผลที่จะเกิดขึ้น
6.การชี้ข้อดีและข้อเสีย พวกนี้จะบอกท้งข้อดีและข้อเสียที่เกิดขึ้น
ประเภทการโน้มน้าวใจ
1.คำเชิญชวน ใช้กับเรื่องที่ดี เช่น เชิญชวนไปบริจาคโลหิต
2.โฆษณา เอาไว้ขายของ เช่นโฆษณาดัชชี่
3.โฆษณาชวนเชื่อ เป็นพวกโฆษณา over เกิด เช่น โฆษณาที่บอกว่าครีมนี้สามารถลดริ้วรอยในภายใน 5 วัน (จริง ๆ 1 ปีที่ผ่านไป ริ้วรอยก็ยังไม่หาย แถมมีรอยตีน crow ขึ้นอีก -- แสดงว่าโฆษณา ver เกินจริง)
ตอนที่ 3 คำและความหมาย
ความหมายของคำ
ความหมายนัยตรง = ความหมายที่แปลตรง ๆ ของคำนั้น
ความหมายโดยนัย(ความหมายอุปมา) = ความหมายเปรียบของคำนั้น เช่น
-เล่นงิ้ว นัยตรง = เล่นงิ้ว โดยนัย = อาละวาด
-โดดร่ม นัยตรง = โดดร่มจากเครื่องบิน โดยนัย = โดดเรียน
ความหมายโดยนัย
เป่าปี่ = ร้องไห้ ล้างมือ = เลิกยุ่ง เหวี่ยงแห = เหมารวม เปรี้ยว = ออกเซ้กซี่ เล่นละคร = เสแสร้ง
ไม้ประดับ = เอาไว้โชว์ ๆ อย่างงั้น บางทีเราก็ไม่ได้จริงใจมาก (เช่นผู้ชายไม้ประดับ)
ประเภทความหมายของคำ
1.คำไวพจน์ คือคำที่มีความหมายเหมือนกัน synonym ดวงตะวัน = ดวงอาทิตย์ = ระพี
ทองคำ มีคำไวพจน์ เช่น กาญจนา สุวรรณ กนก
เงิน มีคำไวพจน์ เช่น หิรัญ รัชดา
ช้าง มีคำไวพจน์ เช่น หัตถี หัสดี กิริณี กรี คช สาร
สวย มีคำไวพจน์ เช่น งาม สิริ โสภา รางชาง อันแถ้ง สิงคลิ้ง
2.คำพ้อง = คำที่ดันมาเหมือนกัน ก็มีเหมือนเหมือนรูปก็พ้องรูป
เหมา (เห-มา)หันมา (เหมา)สรุป
เพลง(เพ-ลา)เวลา (เพลา)ตัก
คำพ้องเสียงก็เขียนไม่เหมือนกัน แต่ดันอ่านเหมือนกันเช่น ฉัน-ฉันท์ กัน-กรร-กรรณ-กัณ-กัณฑ์-กัลป์
ถ้าคำนั้นดันมีหน้าตาเหมือนกัน และก็อ่านเหมือนกันอีกทั้งๆ ที่มีความหมายไม่เหมือนกันเราเรียกว่าคำพ้อง บ้างก้อเรียกว่าคำพ้องรูปพ้องเสียง เช่น เขายืนอยู่บนเขาลูกนั้น
คำความหมายแคบกว้าง
คำความกว้างคือ คำที่มีความหมายกว้าง ๆ คำมันจะคลุมคำเล็ก ๆ เยอะแยะ เช่น ภาชนะก็รวม หม้อ โถ ถ้วย จาม ชาม
คำความหมายแคบ คือ คำเล็ก ๆ คำพวกนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของคำความหมายกว้างเช่น นิโคล ความหมายกว้างคือนักร้อง
-เขาไปเที่ยวมาแล้วทุกจังหวัด ยกเว้นหาดใหญ่
หาดใหญ่ไม่ใช่จังหวัด ยังงี้แล้วก็อาจจะต้องแก้ว่า เขาไปเที่ยวมาทั่วแล้ว แต่ยังไม่เคยไปหาดใหญ่
ความหมายของคำบางคำที่น่าจะรู้
ปณิธาน = ตั้งใจ ปฏิภาณ = ไหวพริบ
ผลประโยชน์ = ใช้กับธุรกิจ ประโยชน์ =ใช้กับเรื่องทั่วไป
รับฟัง = ใช้กับปัญหา คำเตือน ฟัง =ใช้กับทั่วๆ ไป
จุกจิก = ใช้กับนิสัยคน จุบจิบ = ของกินเล็ก ๆ น้อย ๆ
อยู่กิน = ไปอยู่ไปกิน กินอยู่ = อยู่แบบสามี ภรรยา
จับจด = ทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน หยิบโหย่ง = ไม่เอาการเอางาน
จรรยาบรรณ = ใช้เฉพาะอาชีพหมอและครู มารยาท = ใช้กับอาชีพทั่ว ๆ ไป
สวัสดิภาพ = ความปลอดภัย สวัสดิการ = สิ่งที่นายจ้างให้ลูกจ้าง
ทัศนคติ = ความรู้สึก ทัศนะ = ความคิดเห็น
สมรรถภาพ = กับร่างกาย ประสิทธิภาพ = ใช้กับเครื่องจักร
ครึกโครม = ความดังของข่าว กึกก้อง = เสียง
ฟุ้ง = ใช้กับกลิ่นหอม คลุ้ง = ใช้กับเหม็น
อบอวล = ใช้กับกลิ่นหอม ตลบ = ใช้กับกลิ่นเหม็น
รุ่นกระทง = ใช้กับผู้ชาย วัยกระเตาะ = ใช้กับผู้หญิง
พรวดพราด = ใช้กับขึ้น ฮวบฮาบ = ใช้กับลง
ฟุบหน้า = เป็นเพราะเหนี่อย ซบหน้า = เป็นเพราะร้องไห้
งัวเงีย = เพิ่งตื่น ง่วงนอน = กำลังจะนอน
ดุษณี = นิ่ง ดุษฎี = สูงสุด
คำเชื่อมที่เป็นคู่กัน
ทั้ง .......และ (ห้ามใช้ ทั้ง.....กับ)
ระหว่าง......กับ
ให้+แก่
ต่าง+กับ
สอดคล้อง+กับ
เกี่ยวข้อง+กับ
เผชิญ+กับ
โต้แย้ง+กับ
สมควร+แก่
ตก+กับ
ตระหนัก+ถึง
จำเป็น+ต่อ
อุปสรรค+ต่อ
ยื่น+ต่อ
รายงาน+ต่อ
ตอนที่ 4 การสื่อสาร ขี้เกียจพิมพ์
บรรยาย เป็นการเล่าเรื่องทั่วไป(ได้เนื้อเรื่อง)
พรรณนา เป็นการให้รายละเอียดให้เกิดภาพ(ได้น้ำมากกว่าเนื้อ)
เทศนา เป็นการสั่งสอนหรืออธิบาย
สาธก เป็นการยกตัวอย่าง
อุปมา เป็นการเปรียบเทียบ
ตอนที่ 5 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับวรรณคดี
ศิลปะการประพันธ์
1.ศิลปะการสร้างเสียงให้ไพเราะ
1.เล่นเสียง(เล่นสัมผัส) สัมผัสสระ อักษร(เล่นอักษร) วรรณยุกต์
2.เลียนเสียงธรรมชาติ
3.เล่นคำ คือการเอาคำที่มีหน้าตาของคำเหมือนกันมาอยู่ใกล้ ๆ กันเช่น
-เนื้ออ่อนอ่อนแต่ชื่อ เนื้อน้องหรืออ่อนทั้งกาย
มีเล่นคำซ้ำ เล่นคำพ้อง
2.ศิลปะการสร้างภาพสวยงาม
1.จินตภาพ = มโนภาพ คือภาพที่เกิดตอนเราอ่านหนังสือ (ประมาณว่า เราจินตนาการเป็นภาพอะไรนั่นคือ จินตภาพ)
2.ภาพพจน์ = กวีโวหาร คือ การเขียนเปรียบเทียบ (ประมาณว่า ไม่ได้ เขียนตามที่เห็นเท่านั้น แต่มีการเปรียบเทียบด้วย)
วิธีการเขียนเปรียบเทียบ(วิธีเขียนแบบภาพพจน์)
1.อุปมาคือการเปรียบด้วยคำว่า"เหมือน"หรือคำที่แปลว่า"เหมือน"
2.อุปลักาณ์ คือการเปรียบด้วยคำว่า"คือ, เป็น,ใช่" หรือไม่ก้อละคำเปรียบเทียบทิ้งไปเลย เช่นเพชรน้ำค้าง แต่แม่คือคนที่ผมรักที่สุดไม่ใช่อุปลักษณ์นะ(ก็มันไม่ได้เปรียบเทียบตรงไหนนี่หน่า)
3.บุคคลวัต บุคคลสมมติ หรือ บุคลาธิษฐาน ก็คือทำให้สิ่งนั้นทำกริยาได้เหมือนคนทั้ง ๆ ที่จริง ๆ ทำไม่ได้เช่น ฟ้าร้องไห้ ทะเลไม่เคยหลับไหล
4.อติพจน์ คำพูดที่overเกินจริง เช่น ร้อนแทบสุก
เรียมร่ำน้ำเนตร ท่วม ถึงพรหม(เรียมคือ ฉัน แปลว่าฉันร้องไห้ซะจนน้ำตาท่วมถึงสวรรค์ชั้นพรหม อะไรจะverปานนั้น อย่างงี้เขาเรียกว่าอติพจน์)
จะหาโฉมให้เหมือนนุข จนสุดฟ้าสุราลัย ตายแล้วเกิดใหม่ ไม่ได้เหมือนเจ้านฤมล(หาคนที่หน้าตาสวยอย่างเธอให้ตายแล้วเกิดใหม่ ก้อคงไม่เจอ...ก็ver ตามเคย
5.อวพจน์คือพูดที่น้อยกว่าความจริง(ประมาณว่าตริงกับกับอติพจน์)เช่นรอแค่อึดใจเดียว จริง ๆ มันตั้งคึ่งชั่วโมงแล้ว
6.สัญลักษณ์ คือสิ่งที่เราเอามาแทน (ประมาณว่าเป็นสิ่งที่ทั่วไปใคร ๆ เค้าก้อรู้กันว่าจริง ๆ มันคืออะไร) เช่น แทนผู้ดีด้วย หงส์ แทน คนชั้นต่ำ ด้วยกา แทนการเริ่มต้น ด้วยวันใหม่ หรือรุ่งอรุณ แทนอุปสรรคด้วยเมฆ หมอก
7.นามนัย คือสิ่งที่เราเอามาแทน แต่สิ่งนั้นต้องเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่เอามาแทน(เขียนอย่างงยี้อาจจะงง ว่าคืออะไร ก็ประมาณว่าเราหาจุดใดจุดหนึ่งของสิ่งนั้นขึ้นมาพูดแทนสิ่งนั้นเดี๋ยวดูตัวอย่างดีกว่า) เช่น
- เราเห็นเพื่อเรายิ่วแล้วเหี่ยวหมดทั้งหน้า เราก็ตั้งสมญานามมันว่า"ไอ้เหี่ยว"(ไอ้เหี่ยวเป็น"นามนัย"เพราะเราเอาจุดเด่นจุดหนึ่งของเพื่อนมาเรียกชื่อแทนชื่อจริงของมัน)
-เราเห็นนักเขียนทำงานด้วยปากกา เราก็เรียกนัเขียนว่า"อาชีพปากกา"
ความต่างระหว่างนามนัยกับสัญญลักษณ์
สัญญลักษณ์ เอาสิ่งอื่นมาแทน
นามนัย เอาส่วนหนึ่งของสิ่งนั้นมาแทน
8.ปฏิพากย์ คือการใช้การขัดแย้งกันในการเขียน เช่น
เสียงน้ำซึ่งกระซิบปราศจากเสียง จักรวาบวุ่นวายไร้สำเนียง
9.อุปมานิทัศน์ คือการยกเอาเรื่องราวหรือนิทานขึ้นมาเปรียบ เทียบเพื่อสอน เช่น
-เวลาเราขึ้เกียจ แม่ก็จะเล่าเรื่องคนที่ขี้เกียจแล้วตอนหลังเขาลำบาก(ปกติแม่อาจเล่ายาวถึง 2 ชม. ประมาณเป็นภาษาวัยรุ่นว่า แม่เทศน์) เรื่องที่แม่ยกมาเล่าให้เราฟัง เรียกว่า อุปมานิทัศน์
10.สัทพจน์ คือ คำเลียนเสียงธรรมชาติ เช่นโครม ครีน ครีน วีดว้าย
กลบท
คือร้อยกรองที่แต่งพิเศษจากปกติ ด้วยTrickของคนแต่งแต่ละคน ลองมาดูกลบทบางอัน
อันแรกก็เปนคำสุดท้ายของวรรคแรกเป็นคำแรกของวรรคต่อมาไปเรื่อย ๆ
อันที่สอง ให้เสียงพยัญชนะต้อนของ 1 2 3 ไปสัมผัสกับ 4 5 6 แล้วคำที่ 3 กับ 4 ต้องสัมผัสสระกันด้วย
"กบเต้นต่อยหอย"
อีกแบบ คำรองสุดท้ายวรรคแรกมาขึ้นต้นเป็นคำแรกของวรรคต่อมา"นาคบริพันธ์"
ฉันทลักษณ์
กลอนแปด แต่ละวรรคจะมี 8 คำ
กาพย์ยานี 11 วรรแรกมี 5 วรรคสอง มี 6
กาพย์ฉบัง 16 วรรคแรกมี 6 วรรคสอง มี 4 วรรคสาม มี 6
กาพย์สุรางคนางค์ 28 มี 7 วรรค วรรคละ 4 คำ
ฉันท์ คือ ร้อยกรองที่บังคับเสียงหนัก-เบา คือ ครุ-ลหุ ด้วย
อินทรวิเชียรฉันท์11คล้ายกับกาพย์ยานี 11 คือวรรคแรกมี 5 วรรค 2 มี 6 แต่ยังคับเสียง ครุ ลหุ
-ั -ั -ุ -ั -ั -ุ -ุ -ั -ุ -ั -ั
วิธีจำ อินทรวิเชียรฉันท์ ยังคัยเสียงเยาที่ตำแหน่ง 3 6 7 9 ที่เหลือเป็นำคหนักหมด
วสันตดิลกฉันท์ 14 คล้ายกับอินทรวิเชียรฉันท์ เพียงแต่เพิ่มเสียงเยา 3 เสียงติดกันเข้าไปก่อนคำสุดท้ายวรรคแรก
-ั -ั -ุ -ั -ุ -ุ -ุ -ั -ุ -ุ -ั -ุ -ั -ั
ที่เหลือเหมือนกับอินทรวิเชียรฉันท์ 11 เลย
เวลาทำในห้องสอบ
เรื่องนี้เขาจะยกร้องกรองมกให้ทุกวรรคติดกัน แล้วถามเราว่าเป็นร้องกรองประเภทไหน วิธีทำก้อง่ายมาก ทำตามขึ้นตอนต่อไปนี้ดู
1.นักคำรวมทั้งหมดที่เขายกมาให้เราอ่าน ถ้ามันใกล้เคียงกับฉันทลักษณ์ประเภทไหนก็ลองแย่งวรรคอ่านแบบฉันทลักษณืประเภทนั้น ถ้าอ่านแล้วทำนองใช่ ก็ประมาณว่านั่นคือ ฉันทลักษณ์ประเภทนั้น เช่น สมมติเรานับคำรวมได้ 29 มันใกล้กับ 28 (สุรางคนางค์) เราก็ลองอ่านแบบสุรางคนางค์คืออ่านวรรคละ 4 คำ 7 วรรค แต่อย่าลืมว่าที่เรานับมามี 29 แสดงว่าต้องมีคำเกิน 1 คำ ต้องเกินในวรรคไหนสักวรรค เราก็ต้องลองอ่านดูว่าลงจังหวัดของวรรคไหน(ข้อนี้คือต้องลองนะจ๊ะ)
2.แต่ถ้ามันเกิดไกลจากคณะของฉันทลักษณ์ที่เรารู้ ก็ให้หาร 2 ไปเรื่อง ๆ จนกว่า เราจะเจอกับฉันทลักษณ์ประเภทไหน เช่นเกิดนับได้ 33 มันไม่ใกล้กับร้องกรองประเภทไหนเลย เราก็อาจลอง หาร 2 ดู ก็จะได้ 16.5 (แต่ขอร้องนี่ไม่ใช่เลข มันเป็นวรรณคดีที่ต้องการศิลปะเราสามารถปัดเศษทิ้งจ๊ะ) สรุปก็คือ มันก็อาจเป็นกาพย์ฉบัง 16 ก็ลองอ่านแบ่งวรรคเป็น 6-4-6ดู แต่ถ้าลองอ่านแล้วมันไม่ใช่ ก็ให้หาร 2 ไปอีก ก็จะได้ 8 ก็ลองเป็นแบบ กลอน 8 ดู
มีข้อระวังอยู่ 2 ข้อนะ
ข้อแรก ถ้าหารแล้วได้ 11 หรือประมาณ11 อย่างเพิ่งคิดว่าต้องเป็นกาพย์ยานี11 เพราะอาจเป็นอินทรวิเชียรฉันท์ก็ได้ลองเช็ค ครุ-ลหุก่อน
ข้อสอง ยางทีคำในฉันท์จะอ่านไม่เหมือนที่เราพูดเช่นโลหิตอ่านว่า โล-หิ-ตะ สกลอ่าน สะ-กะ-ละ ก็มี
โคลง
เป็นร้อยกรองที่บังคับเรื่องรูปวรรณยุกต์ คือจะมีบางตำแหน่งในโคลงที่เขายังคับให้มีรูปไม้เอก เขาเรียกว่าคำเอก และบางตำแหน่ง เขาก็ยังคับให้มีรูปโทร เรียกว่า คำโท
เวลาแต่ง
ข้อแรกตรงคำโทถ้าหาคำที่มีไม้โทปกติไม่ได้ ก็หาคำที่เขียนด้วยไม้โทก็แล้วกัน ถึงจะสะกดผิดไม่เป็นไรของแค่รูปไม้โทแล้วอ่านได้ก็ OKเช่น เล่นจะเป็นเหล้นก็ได้นะ(โทโทษคือคำที่เขียนด้วยไม้โทแต่สะกดผิดนั่นเอง)
ข้อสองตรงคำเอกก็เหมือนกัน
มีข้อพิเศษเฉพาะคำเอก ถ้าหาคำเอกมาแทนไม่ได้ก็หาคำตายมาแทนก็แล้วกัน
คำตายคือ
1.มีรูปตัวสะกด กก กบ กด ก บ ด (กบฎต้องตาย)
2.ไม่มีตัวสะกดแต่ผสมสระสั้น(อายุสั้นก็ตายเร็ว)
ประเภทของโคลง
ไม่ว่าจะเป็นโคลงอะไรก็มีวรรคละ 5 คำนะ กี่วรรคก็เป็นชื่อยังไงหละ
***แล้วก็จำอีกนิดว่าวรรคสุดท้ายของโคลงถ้ามี 2 คำ เรียกว่าโคลงดั้น ถ้ามี 4 คำ เรียกว่าโคลงสุภาพ เพราะฉะนั้น
-โคลง 4 สุภาพ
มีวรรคละ 5 คำ 4 วรรค วรรคสุดท้ายมี 4 คำ
-ใคลง 3 ดั้น
มีวรรคละ 5 คำ 3 วรรค วรรสุดท้ายมี 2 คำ
เน้นโคลงสี่สุภาพจำได้ใช่ไหม เสียงลือเสียงเล่าอ้าง......
เออ คำเอกโทคู่แรกสลับกันได้นะ(ตรงบรรทัดที่ 1 เท่านั้นนะ)
มีอีกแยะ...
วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2552
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น