วันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2552
พระธรรมนูญศาลยุติธรรม
หัวข้อสนทนา : พระธรรมนูญศาลยุติธรรม ฉบับเตรียมสอบเนติ มาตรา ๑๕ ห้ามรับฟ้อง- ห้ามศาลยุติธรรมศาลใดรับคดี ซึ่งศาลยุติธรรมอื่น (ได้สั่งรับประทับฟ้องโดยชอบแล้ว)ไว้พิจารณาพิพากษา เว้นแต่ คดีนั้น ( จะได้โอนมา )- กฎหมายบัญญัติมาตรานี้ก็เพื่อไม่ต้องการให้ศาลยุติธรรมด้วยกัน ( ดำเนินคดีซ้อนกัน )- ใช้เฉพาะศาลยุติธรรมด้ยกันเท่านั้น ( ไม่เกี่ยวกับศาลปกครอง , ศาลรัฐธรรมนูญ , ศาลทหาร )- ศาลยุติธรรมอื่น หมายถึง ศาลยุติธรรมทั้งหมด รวมทั้งศาลแขวง ศาลพิเศษ และศาลชำนัญพิเศษ- เมื่อมีการฟ้องคดีซ้อนกัน ตามมาตรา ๑๕ ให้ฝ่ายจำเลยแจ้ง หรือ เมื่อศาลทราบว่ามีการฟ้องคดีไว้แล้ว ( ศาลนั้นอาจจะพิพากษายกฟ้อง หรือ สั่งเพิกถอนคำสั่งที่รับคดีไว้แล้ว (คดีหลัง) ก็จำหน่ายคดีไป )- ข้อยกเว้น การฟ้องซ้ำ หรือ ฟ้องซ้อน มี ๓ กรณี คือ๑. คดีโอนมา ตาม ป.วิอาญา มาตรา ๒๓ , ๒๖๒. คดีโอนมา ตาม ป.วิแพ่ง มาตรา ๖ , ๒๘๓. คดีโอนมา ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา ๑๖ วรรคสี่๔. คดีโอนมา ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒มาตรา ๑๐ , ๑๑ และ ๑๒ ( หากแต่ว่าไม่อยู่ในความหมาย มาตรา ๑๕ )เขตอำนาจหน้าที่ของศาลแพ่ง หรือ ศาลอาญา มีหลักดังนี้.-- เมื่อศาลแพ่งหรือศาลอาญา ใช้ดุลยพินิจยอมรับคดีที่เกิดนอกเขตศาลไว้พิจารณาแล้ว ( ศาลจะพิพากษายกฟ้อง โดยอ้างเหตุว่าคดีเกิดนอกเขต หรือ สั่งจำหน่ายคดี หรือ สั่งเพิกถอนคำสั่งที่รับฟ้องเป็นไม่รับฟ้อง ทำไม่ได้ )- สำหรับในคดีอาญา ถือว่าศาลใช้ดุลพินิจยอมรับคดีไว้พิจารณาพิพากษา ( เมื่อศาลมีคำสั่งประทับฟ้อง เป็นหลัก ) - ศาลใช้ดุลพินิจ ได้เฉพาะ ( ศาลแพ่ง หรือ ศาลอาญา เท่านั้น )- สำหรับคดีเกิดขึ้นนอกราชอาณาจักรไทย ตามป.วิอาญา มาตรา ๒๒ (๒) ให้ชำระที่ศาลอาญานั้น ( ศาลอาญา ศาลจังหวัด หรือศาลแพ่ง ต้องรับคำฟ้องหรือคำขอไว้พิจารณาพิพากษา ) จะมีคำสั่งใช้ดุลพินิจ หรือ มีคำสั่งโอนคดีไปยังศาลยุติธรรมอื่น ตามมาตรา ๑๖ วรรคสาม ไม่ได้คดีเกิดนอกเขตศาลจังหวัด(๑). ในกรณีที่มีการยื่นฟ้องคดีต่อศาลจังหวัด และ(๒). คดีนั้นเกิดขึ้นในเขตของศาลแขวงและอยู่ในอำนาจของศาลแขวง (๓). ให้ศาลจังหวัดนั้นมีคำสั่งโอนคดีไปยังศาลแขวงที่มีเขตอำนาจ - ศาลจังหวัด จะใช้ดุลพินิจ ตามมาตรา ๑๖ วรรคสามไม่ได้ ( จะต้องสั่งโอนคดีอย่างเดียว )- ให้ถือว่าศาลอาญา ศาลแพ่ง ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลอาญาธนบุรี ศาลแพ่งธนบุรี ( เป็นศาลจังหวัด ตามมาตรา ๑๖ วรรคสี่ นี้ด้วย )- ศาลจังหวัด ( ใช้ดุลพินิจรับคดีไว้พิจารณาพิพากษา ตามมาตรา ๑๖ วรรคสามไม่ได้ )- ยื่นฟ้องคดีในเขตอำนาจศาลแขวงต่อศาลอาญา ศาลอาญาได้ไต่สวนแล้วสั่งคดีมีมูลให้ประทับฟ้องและนัดสืบพยานโจทก์ ( ถือได้ว่าศาลอาญาใช้ดุลยพินิจยอมรับพิจารณาพิพากษาคดีแล้ว จะสั่งเพิกถอนคำสั่งเดิมไม่ได้ ) ฎ.๒๑๑๕/๒๕๒๓- การสั่งโอนต้องโอนไปยังศาลยุติธรรมด้วยกันเท่านั้น ( ศาลทหาร ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง ไม่ได้ )ศาลอาญา ศาลแพ่ง หรือศาลจังหวัด อาจโอนคดีไปยังศาลพิเศษ หรือศาลชำนัญพิเศษซึ่งเป็นศาลยุติธรรมด้วยกันได้ ( แต่เป็นการโอนตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลพิเศษหรือศาลชำนัญพิเศษ ) ไม่ใช่เป็นการโอนคดีตามพระธรรมนูญยุติธรรม มาตรา ๑๖ นี้ มาตรา ๑๗ เขตอำนาจของศาลแขวง - ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และมีอำนาจทำการไต่สวน หรือมีคำสั่งใด ๆ ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๒๔ และมาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง - ม.๑๗ เป็นเรื่องอำนาจศาล ( ไม่ใช่เรื่องเขตศาล ) เป็นอำนาจของผู้พิพากษาคนเดียว ( แม้ศาลแขวงจะมีผู้พิพากษาหลายคนก็ตาม ก็มีอำนาจเท่ากับผู้พิพากษาคนเดียว ) เช่น ผู้พิพากษาศาลแขวง ๒ คนจะไปพิจารณาพิพากษาคดีปล้นทรัพย์ ตาม ป.อาญา ม.๓๔๐ ไม่ได้ - ศาลแขวง ในประเทศไทย มี ๒๗ ศาล ( ในกรุงเทพฯ ๗ ศาล และในจังหวัดอื่น ๒๐ ศาล ) ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี ( ตามมาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง )- ศาลแขวงมีอำนาจทำการไสวน หรือมีคำสั่งใดๆซึ่งผู้พิพากษาคนเดียว ( ตามมาตรา ๒๔ ) มาตรา ๑๘ เขตอำนาจของศาลจังหวัด- ศาลจังหวัดมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งและคดีอาญาทั้งปวง ( ที่มิได้อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรมอื่น )- ศาลจังหวัดมีอำนาจทำการไสวน หรือมีคำสั่งใดๆซึ่งผู้พิพากษาคนเดียว ( ตามมาตรา ๒๔ )มาตรา ๒๔ อำนาจของผู้พิพากษาคนเดียวทุกชั้นศาลให้ผู้พิพากษาคนหนึ่งมีอำนาจดังต่อไปนี้ ( เป็นอำนาจของผู้พิพากษาทุกคนทุกชั้นศาล )(๑) ออกหมายเรียก หมายอาญา หรือหมายสั่งให้ส่งคนมาจากหรือไปยังจังหวัดอื่น - หมายอาญา หมายถึง หมายค้น หมายจับ หมายปล่อย หมายจำคุก(๒) ออกคำสั่งใด ๆ ซึ่งมิใช่เป็นไปในทางวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดี ได้แก่ คำสั่งดังนี้.-๒.๑. คำสั่งโอนคดี๒.๒. คำสั่งไม่รับฟ้อง หรือ คืนคำคู่ความ๒.๓. คำสั่งงดสืบพยาน๒.๔. คำสั่งให้รวมการพิจารณา๒.๕. คำสั่งเลื่อนการนั่งพิจารณา๒.๖. คำสั่งงดการไต่สวนมูลฟ้อง หรือ พิจารณากรณีผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญาไม่สามารถต่อสู้ได้ เนื่องจากวิกลจริต๒.๗. คำสั่งให้โจทก์แก้ฟ้อง หรือ ไม่ประทับฟ้องกรณีมีการฟ้องผิดศาล๒.๘. คำสั่งให้ริบเงินของผู้ร้องขัดทรัพย์ไว้ และ ถอนการยึด- กรณีที่ไม่ถือว่าเป็นคำสั่ง ตามมาตรา ๒๔(๒) คือ คำสั่งยกคำร้องขัดทรัพย์ มาตรา ๒๕ อำนาจของผู้พิพากษาคนเดียวในศาลชั้นต้นในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น ดังต่อไปนี้ (๑) ไต่สวนและวินิจฉัยชี้ขาดคำร้องหรือคำขอที่ยื่นต่อศาลในคดีทั้งปวง เช่น๑.๑. การไต่สวนคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราว๑.๒. การไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ( ซึ่งนอกจากศาลจะทำการไต่สวนแล้ว ยังต้องวินิจฉัยว่าผู้ขอเป็นคนอนาถาจริงหรือไม่ โดยต่างกับคำสั่งตามมาตรา ๒๔(๒)ที่ศาลสั่งเองได้โดยไม่ต้องมีการร้องขอจากคู่ความ )๑.๓. การไต่สวนคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่- (๒) ไต่สวนและมีคำสั่งเกี่ยวกับวิธีการเพื่อความปลอดภัย - กรณี เช่น ศาลสั่งกักกันจำเลยที่กระทำผิด ศาลสามารถมีคำสั่งได้ เนื่องจากว่าการกักกันไม่ใช่โทษ หากแต่เป็นวิธีการเพื่อความปลอดภัย(๓) ไต่สวนมูลฟ้องและมีคำสั่งในคดีอาญา ๓.๑. กรณีไต่สวนมูลฟ้องและมีคำสั่งประทับฟ้องไว้พิจารณา ผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจสั่งประทับฟ้องได้ ( ถึงแม้ว่าคดีดังกล่าวนั้นจะมีอัตราโทษสูงสุดเพียงใด )๓.๒. กรณีไต่สวนมูลฟ้องและมีคำสั่งเห็นควรยกฟ้อง ( ต้องพิจารณาว่าคดีดังกล่าวมีอัตราโทษจำคุกเกิน ๓ ปี หรือปรับเกิน ๖๐,๐๐๐ บาทหรือไม่ ) - หากเกินผู้พิพากษาคนเดียวย่อมไม่อาจพิพากษายกฟ้องได้ และถือเป็นกรณีมีเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา ๓๑ (๑) ต้องให้(ก).อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น หรือ(ข). อธิบดีผู้พิพากษาภาค หรือ (ค).ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล แล้วแต่กรณี( ตรวจสำนวน และ ลงลายมือชื่อในคำพิพากษา เป็นองค์คณะด้วย )๓.๓. ผู้พิพากษาประจำศาลจะทำการไต่สวนมูลฟ้องและมีคำสั่ง ( ในคดีอาญาไม่ได้ )(๔) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ๔.๑. คดีมีทุนทรัพย์ เช่นก. ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาขายฝากข. ฟ้องขอให้เพิกถอนพินัยกรรมค. ฟ้องเรียกค่าเสียหายง. ฟ้องตามสัญญาเช่า๔.๒. คดีไม่มีทุนทรัพย์ เช่นก. คดีร้องขอให้ศาลแต่งตั้งผู้จัดการมรดกข. ฟ้องขับไล่ ( แต่หากจำเลยต่อสู้กรรมสิทธิ์จะทำให้คดีฟ้องขับไล่ที่เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์กลับมาเป็นคดีมีทุนทรัพย์ )ค. ฟ้องเรียกคืนโฉนดที่ดินจากผู้ไม่มีสิทธิยึดถือง. ฟ้องให้สั่งเช็คคืน โดยอ้างว่าไม่มีมูลหนี้แล้ว ( แต่หากยังมีการโต้เถียงกันอยู่ว่าชำระหนี้ตามสัญญาเช็คแล้วจริงหรือไม่ เป็นคดีมีทุนทรัพย์ )๔.๓. การคำนวณทุนทรัพย์ว่าเกิน ๓๐๐,๐๐๐ บาทหรือไม่ เช่นก. การเรียกดอกเบี้ย ค่าเช่า หรือค่าเสียหาย ( ให้คิดถึงวันฟ้องเท่านั้น ) เพื่อนำมาคำนวณเป็นทุนทรัพย์ข. โจทก์หลายคนฟ้องรวมกันมาเป็นคดีเดียวกัน การคำนวณทุนทรัพย์ ( ให้คำนวณจากทุนทรัพย์พิพาทของโจทก์แต่ละคนแยกจากกัน )ค. โจทก์คนเดียวฟ้องจำเลยคนเดียว ให้รับผิดตามสัญญาหลายฉบับ เช่น ในกรณีฟ้องตามสัญญากู้หลายฉบับ หรือ ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามเช็คหลายฉบับ ( ให้คำนวณทุนทรัพย์ตามสัญญากู้และเช็คทุกฉบับรวมกัน )ง. กรณีการร้องยึดทรัพย์ ให้ถือทุนทรัพย์ตามราคาทรัพย์ที่ผู้ร้องขอให้ปล่อย(๕) พิจารณาพิพากษาคดีอาญา ซึ่งกฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จำคุกไม่เกิน ๓ ปี หรือปรับไม่เกิน ๖๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ - แต่จะลงโทษจำคุกเกิน ๖ เดือน หรือปรับเกิน ๑๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งโทษจำคุกหรือปรับอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้วไม่ได้ - การพิจารณาว่าคดีใดอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของผู้พิพากษาคนเดียว ดังนี้.-๑. จำเลยกระทำผิดกรรมเดียว แต่ผิดกฎหมายหลายบท ( ให้ดูว่าบทหนักมีอัตราโทษจำคุกเกิน ๓ ปี หรือปรับเกิน ๖๐,๐๐๐ บาทหรือไม่ ถ้าเกินไม่อยู่ในอำนาจผู้พิพากษาคนเดียว )๒. จำเลยกระทำความผิดหลายกระทง ( ต้องพิจารณาอัตราโทษอย่างสูงตามกฎหมายของแต่ละกระทง ) หากทุกกระทงไม่เกินอำนาจของผู้พิพากษาคนเดียว แม้รวมอัตราโทษทุกกระทงแล้วจะมากเพียงใดผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจพิจารณาพิพากษา )๓. การพิจารณาอำนาจพิพากษาของผู้พิพากษาคนเดียว ในกรณีที่จำเลยกระทำผิดหลายกระทง ( ให้พิจารณาเป็นรายกระทง ) หากผู้พิพากษาคนเดียวพิพากษาแต่ละกระทงจำคุกไม่เกิน ๖ เดือนหรือปรับไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท แม้โทษหลายกระทงรวมกันจะหนักเพียงใดก็ตาม ผู้พิพากษาคนเดียวก็มีอำนาจพิจารณาพิพากษา๔. ผู้พิพากษาคนเดียวนำโทษที่รอไว้มาบวกกับโทษที่ลงโทษจำคุกจำเลย ถึงแม้ว่าจะเกินกว่า ๖ เดือน ก็สามารถทำได้๕. ผู้พิพากษาคนเดียวพิพากษาลงโทษกักกัน แม้เกินกว่า ๖ เดือน ก็สามารถทำได้ เพราะว่าการกักกัน ไม่ใช่โทษมาตรา ๒๖ ภายใต้บังคับมาตรา ๒๕ ในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลชั้นต้น นอกจากศาลแขวงและศาลยุติธรรมอื่นซึ่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลนั้นกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อยสองคนและต้องไม่เป็นผู้พิพากษาประจำศาลเกินหนึ่งคน จึงเป็นองค์คณะที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งหรือคดีอาญาทั้งปวง มาตรา ๒๗ วรรคแรก ในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาคหรือศาลฎีกา ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อยสามคน จึงเป็นองค์คณะที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีได้ วรรคสอง ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค และผู้พิพากษาศาลฎีกา ที่เข้าประชุมใหญ่ในศาลนั้นหรือในแผนกคดีของศาลดังกล่าว เมื่อได้ตรวจสำนวนคดีที่ประชุมใหญ่หรือที่ประชุมแผนกคดีแล้ว มีอำนาจพิพากษาหรือทำคำสั่งคดีนั้นได้ และเฉพาะในศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคมีอำนาจทำความเห็นแย้งได้ด้วย มาตรา ๒๘ มีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจำเป็นอื่นในระหว่างพิจารณาวรรคแรก ในระหว่างการพิจารณาคดีใด หากมีเหตุสุดวิสัยหรือมีเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ ทำให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้น ไม่อาจจะนั่งพิจารณาคดีต่อไป ให้ผู้พิพากษาดังต่อไปนี้นั่งพิจารณาคดีนั้นแทนต่อไปได้ (๑) ในศาลฎีกา ได้แก่ ประธานศาลฎีกา หรือรองประธานศาลฎีกา หรือผู้พิพากษาในศาลฎีกาซึ่งประธานศาลฎีกามอบหมาย (๒) ในศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาค ได้แก่ ประธานศาลอุทธรณ์ ประธานศาลอุทธรณ์ภาค หรือรองประธานศาลอุทธรณ์ รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค หรือผู้พิพากษาในศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาคซึ่งประธานศาลอุทธรณ์หรือประธานศาลอุทธรณ์ภาค แล้วแต่กรณี มอบหมาย (๓) ในศาลชั้นต้น ได้แก่ อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น อธิบดีผู้พิพากษาภาค ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล หรือรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น หรือผู้พิพากษาในศาลชั้นต้นของศาลนั้น ซึ่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น อธิบดีผู้พิพากษาภาค หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล แล้วแต่กรณี มอบหมาย วรรคสอง ให้ผู้ทำการแทนในตำแหน่งต่าง ๆ ตามมาตรา ๘ มาตรา ๙ และมาตรา ๑๓ มีอำนาจตาม (๑) (๒) และ (๓) ด้วย มาตรา ๒๙มีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจำเป็นอื่นอันมาจก้าวล่วงได้ในระหว่างพิพากษาวรรคแรก ในระหว่างการทำคำพิพากษาคดีใด หากมีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ ทำให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจจะทำคำพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้ ให้ผู้พิพากษาดังต่อไปนี้มีอำนาจลงลายมือชื่อทำคำพิพากษา และเฉพาะในศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค และศาลชั้นต้น มีอำนาจทำความเห็นแย้งได้ด้วย ทั้งนี้ หลังจากได้ตรวจสำนวนคดีนั้นแล้ว (๑) ในศาลฎีกา ได้แก่ ประธานศาลฎีกาหรือรองประธานศาลฎีกา (๒) ในศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาค ได้แก่ ประธานศาลอุทธรณ์ ประธานศาลอุทธรณ์ภาค รองประธานศาลอุทธรณ์ หรือรองประธานศาลอุทธรณ์ภาค แล้วแต่กรณี (๓) ในศาลชั้นต้น ได้แก่ อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น อธิบดีผู้พิพากษาภาครองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล แล้วแต่กรณี วรรคสอง ให้ผู้ทำการแทนในตำแหน่งต่าง ๆ ตามมาตรา ๘ มาตรา ๙ และมาตรา ๑๓ มีอำนาจตาม (๑) (๒) และ (๓) ด้วย มาตรา ๓๐ เหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา ๒๘ และมาตรา ๒๙ หมายถึงกรณีที่ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะนั่งพิจารณาคดีนั้นพ้นจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่หรือถูกคัดค้านและถอนตัวไป หรือไม่อาจปฏิบัติราชการจนไม่สามารถนั่งพิจารณาหรือทำคำพิพากษาในคดีนั้นได้ มาตรา ๓๑ เหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา ๒๘ และมาตรา ๒๙ นอกจากที่กำหนดไว้ในมาตรา ๓๐ แล้ว ให้หมายความรวมถึงกรณีดังต่อไปนี้ด้วย (๑) กรณีที่ผู้พิพากษาคนเดียวไต่สวนมูลฟ้องคดีอาญาแล้วเห็นว่าควรพิพากษายกฟ้อง แต่คดีนั้นมีอัตราโทษตามที่กฎหมายกำหนดเกินกว่าอัตราโทษตามมาตรา ๒๕ (๕) (๒) กรณีที่ผู้พิพากษาคนเดียวพิจารณาคดีอาญาตามมาตรา ๒๕ (๕) แล้วเห็นว่าควรพิพากษาลงโทษจำคุกเกินกว่าหกเดือน หรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งโทษจำคุกหรือปรับนั้นอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้งสองอย่างเกินอัตราดังกล่าว (๓) กรณีที่คำพิพากษาหรือคำสั่งคดีแพ่งเรื่องใดของศาลนั้นจะต้องกระทำโดยองค์คณะ ซึ่งประกอบด้วยผู้พิพากษาหลายคน และผู้พิพากษาในองค์คณะนั้นมีความเห็นแย้งกันจนหาเสียงข้างมากมิได้ (๔) กรณีที่ผู้พิพากษาคนเดียวพิจารณาคดีแพ่งตามมาตรา ๒๕ (๔) ไปแล้ว ต่อมาปรากฏว่าราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินที่ฟ้องเกินกว่าอำนาจพิจารณาพิพากษาของผู้พิพากษาคนเดียวเฉพาะมาตราที่ต้องจำได้ ส่วนนอกจากนี้ดูเพิ่มเติมด้วย สงสารเด็กเนติรุ่นใหม่ ๆ ที่ไม่มีรุ่นพี่ดี ๆ สอนน้อง เหมือนผมในสมัยก่อนที่จะมีคุณ F4 เอื้องผา ผศ.เสนาะฯ เห็นมีแต่กระทู้ไร้สาระ กระดานสนทนาที่นี้เลยกลายเป็น กระดานไร้สาระ ถ้าว่างจะทำให้อีก
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น